เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เรามาทำบุญกุศล เราจะปลูกต้นธรรม ปลูกธรรมในหัวใจนะ เวลาเราเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เราอยากให้ลูกหลานเราฉลาด อยากให้ลูกหลานเราเป็นคนดี นี่พูดถึงเรามีความปรารถนาดี ปรารถนาดีเพราะความรักของพ่อของแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นจากว่าเราไร้เดียงสา เราไร้เดียงสาเรื่องธรรมะนะ แต่เราฉลาดในเรื่องทางโลกเพราะเรามีการศึกษา

เรามีการศึกษา เราศึกษามาเพื่อวิชาชีพ เพื่อหาความสุขใส่ตน แต่ความสุขใส่ตนมันก็ไม่มีความสุขจริง เพราะความสุขอย่างนั้นเป็นความสุขของโลก นี่โลกียปัญญา ปัญญาของโลก โลกมันต้องมีการแสวงหา เพราะคนเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้องเหมือนกัน ทุกคนมีปากมีท้องเหมือนกัน ต้องแสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม? ดำรงชีวิตไว้เพื่อให้มันสิ้นอายุขัยไปใช่ไหม การสิ้นอายุขัย ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วพลัดพรากไปแล้วไปไหนต่อ

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่เราศึกษาธรรมะๆ นี้เป็นวัฒนธรรม ดูทางโลกสิ เวลาเขาจะทำธุรกิจการค้า เขามีสินค้าตัวอย่างนะ เวลาเขาทำสินค้าออกไปตลาด เขาจะมีสินค้าตัวอย่างมาแจก มาแจกให้ทดลองใช้ มาแจกให้ได้ลองลิ้มรสว่าสิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์ไหม สิ่งนั้นมันมีคุณภาพไหม เห็นไหม เราไปวัดไปวา นี่วัฒนธรรม สิ่งนี้มันเป็นตัวอย่าง ตัวอย่างให้เราเปรียบเทียบไง

ถ้าตัวอย่างให้เปรียบเทียบนะ เราเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เราอยู่ทางโลก เราแสวงหามาเพื่อปรารถนาความสุขๆ มันจะเป็นความสุขจริงได้หรือเปล่า มันเป็นความพอใจ มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ถ้าสมความปรารถนามันก็มีความสุขชั่วคราวๆ เท่านั้นแหละ นี่เรื่องของโลก แต่ความจริงมันเป็นสมมุติ คำว่า “สมมุติ” มันเกิดชั่วคราว สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง คำว่า “อนิจจัง” มันมีอยู่ของมัน แต่มันไม่แน่นอน มันอนิจจัง สิ่งที่เราได้มามันจะมีอยู่กับเราตลอดไปได้ไหม มันเป็นสมมุติ สมมุติอันหนึ่ง แล้วชีวิตนี้เป็นสมมุติไหม ชีวิตเป็นสมมุติ โลกนี้เป็นโลกสมมุตินะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

แต่สัจธรรมที่เราจะปลูกธรรมๆ ปลูกธรรมขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ เวลาเขาทำไร่ไถนาของเขา เขาจะปลูกต้นไม้ของเขา เขาจะทำไร่ไถนาของเขาเพื่อพืชผลทางการเกษตรของเขา เขาต้องดูแลรักษา แล้วคนที่มีความชำนาญเข้าไป เขาชำนาญของเขา เขารักษาของเขาได้ง่าย

นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวา เราจะปลูกธรรมของเรา ปลูกธรรมของเรามันปลูกมาที่ไหนล่ะ? มันปลูกขึ้นมาจากหัวใจนะ ดูสิ การเสียสละทานๆ แม้แต่การไปวัดไปวา ในโลกปัจจุบันนี้ เขาพูดถึงเรื่องโลก เรื่องโลกมันมีการแลกเปลี่ยน ธุรกิจการค้ามันต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มันไม่มีสิ่งใดสูญเปล่า แล้วเราไปวัดไปวา ไปเสียสละ มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา มันเสียสละไปมันได้สิ่งใดมา มันได้สิ่งใดมา? ได้บุญกุศลมา

คำว่า “บุญกุศล” เห็นไหม เราเสียสละวัตถุไป วัตถุใครเป็นคนเสียสละมัน? จิตใจเป็นคนที่เสียสละ จิตใจเป็นคนคิด จิตใจเป็นคนทำ จิตใจเป็นคนคิด จิตใจเป็นคนทำนะ สิ่งที่ได้มาคือเจตนา เข้าถึงหัวใจของเรา ถ้าเข้าถึงหัวใจของเรา สิ่งนี้มันเป็นที่พึ่งอาศัย ที่พึ่งอาศัยที่ไหน

ที่พึ่งอาศัย เห็นไหม เวลามันว้าเหว่ มันเร่ร่อน จิตใจมันทุกข์มันยากของมัน ถ้ามันมีบุญกุศลเป็นที่พึ่ง มันอบอุ่นใจของมันนะ มันมีบุญกุศลเป็นที่พึ่ง มันเป็นสมมุติไหม? มันเป็นอามิส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”

ทั้งที่อามิสเราก็อยากบูชา แล้วบูชาด้วยอามิส โลกเขาทำกันไม่ได้ ถ้าเราแสวงหา เราทำมาเพื่อบูชาๆ แล้ว บูชาอะไร? ก็บูชาเพื่อเป็นวัฒนธรรมประเพณีไง แต่ถ้าเราจะปลูกธรรมๆ ขึ้นมา เราต้องมีสติ มีความเชื่อ เวลาเราศึกษาๆ เวลาคนประพฤติปฏิบัติก็กลัวจะหลงทาง เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็กลัวจะผิดพลาดขึ้นไป เห็นไหม ศึกษาพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกก็สาธุ! เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็ศึกษาได้ พอศึกษาได้ ศึกษาทางวิชาการ มันก็เป็นเรื่องโลก ดูสิ การศึกษามันก็ใช้สมองทั้งนั้นแหละ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สมองก็คิด ถ้าสมองเป็นเรา ความคิดเป็นเรา สรรพสิ่งเป็นเรา โลกนี้เป็นเรา ความสุข-ความทุกข์เป็นเรา แต่เราจะปฏิบัติ เราก็ต้องรักตัวเราเอง เราก็อยากได้ความดีทั้งนั้นแหละ ทุกคนอยากได้ของดี ทุกคนไม่อยากได้ของปลอมหรอก แต่เวลาปฏิบัติไปทำไมล้มลุกคลุกคลาน ศึกษามาแล้วก็มีความรู้แล้ว นี่ความรู้ของโลก โลกคืออะไร? โลกคืออวิชชา ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเพราะมีอวิชชาถึงได้เวียนว่ายตายเกิด

พอเวียนว่ายตายเกิด อวิชชาคือความไม่รู้ คือความสงสัย พอศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันแจ่มแจ้ง แจ่มแจ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเองโดยชอบ แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราก็ไปศึกษาความแจ่มแจ้งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเองเป็นคนสงสัย เพราะเรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ในหัวใจ พอศึกษาขึ้นมา นี่ศึกษาวัฒนธรรมประเพณี นี่สินค้าตัวอย่างไง เป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ ทฤษฎีนี้เป็นความจริง

แต่เราศึกษาขึ้นมาแล้ว ศึกษาแล้วเราว่าเรารู้แล้ว ศึกษามาเป็นปริยัติ ว่าเราปฏิบัติแล้วเรากลัวจะหลงทาง ปฏิบัติแล้วจะไปไม่ได้ เห็นไหม เราจะปลูกธรรมๆ เราจะปลูกความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา บ่มเพาะมันขึ้นมาให้เป็นหน่อพุทธะ ให้มันมีความรู้แจ้งในหัวใจของเรา ถ้ามันรู้แจ้ง มันรู้แจ้งที่ไหนล่ะ

รู้แจ้ง เห็นไหม การศึกษามาแล้ว เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น “มหา มหาเรียนมาถึงเป็นมหา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นแจ่มแจ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชำระล้างกิเลส ได้ฆ่าพญามาร”

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดในหัวใจเราไม่ได้อีกเลย” นี่มันฆ่าตายหมดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฆ่ามารตายหมดแล้วมันจะมีความสงสัยในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วเราก็ไปศึกษาเพื่อความรู้ความเห็นของเรา

เวลาศึกษามาแล้ว ดูสิ เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกเลยนะ บอกว่า เราศึกษามา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้ มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราก็ต้องมีมรรคมีผล รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของเรา เราจะปลูกธรรมในหัวใจของเรา จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะทำลายอวิชชาในหัวใจของเรา เราต้องมีความประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงของเรา

ฉะนั้น ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา ทฤษฎีเป็นธรรมวินัย เป็นการชี้นำ ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงเราศึกษามา แล้วเรามีอวิชชา เรามีความสงสัยแน่นอน เรามีความสงสัยแน่นอน เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เราจะปลูกธรรมขึ้นมา เราไม่ได้ปลูกกิเลส เราไม่ได้ไปฉกฉวยของใครมา เราจะไม่เอาสินค้าตัวอย่างของใครมาว่าเป็นของของเรา เป็นของตัวอย่างๆ ตัวอย่างเพื่อให้ลองใช้ ลองใช้แล้วได้ประโยชน์แล้วเราจะเอาความจริง

เอาความจริง เห็นไหม ดูสิ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้ เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางไว้ก่อน แล้วใส่ลิ้นชักไว้ แล้วล็อกกุญแจไว้ อย่าให้มันออกมา เพราะเวลาปฏิบัติไปแล้วมันจะคาดมันจะหมาย “พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น เราก็ปฏิบัติมาถึงครึ่งทางแล้ว เราขวนขวายอีกนิดหนึ่งมันก็จะถึงปลายทางแล้ว”

ปลายทาง นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน พระอานนท์เสียใจมาก เป็นพระโสดาบัน ยังต้องการคนชี้นำอยู่นะ เวลาไปตามพระอานนท์มานะ “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานในคืนนี้ เธอไม่ต้องเสียใจไปเลย เพราะเธอได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตที่จะมีอุบัติขึ้นมา ถ้ามีผู้ใดมาอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีใครทำเกินกว่าพระอานนท์ได้หรอก ไม่มีใครทำเกินกว่าเธอไปได้ เธอทำด้วยความสุดยอดของเธอแล้ว เอตทัคคะแล้ว ฉะนั้น ด้วยบุญกุศลอันนี้ เรานิพพานไปอีก ๓ เดือนข้างหน้า เขาจะมีการสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”

นี่เป็นพระอรหันต์วันนั้น เห็นไหม พระอานนท์ก็บอก ถึงวันนั้นนั่งภาวนาเลย เพราะว่าพระกัสสปะจะทำสังคายนา ต้องการพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ นิมนต์แล้ว ๔๙๙ องค์ รอพระอานนท์ พระอานนท์บอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเราจะเป็นพระอรหันต์วันนั้น เห็นไหม นี่คาดหมายไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจะเป็น คิดถึงแต่คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเราจะได้ เราจะเป็น เราจะได้ เราจะเป็น มันเป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ใช่ไหม แล้วความจริงของตัวล่ะ มรรคผลในใจของตัวมันเกิดขึ้นมาไหมล่ะ...มันก็คิด

นี่ไง พอมันคิด มันต่อสู้กันทั้งคืนเลย ต่อสู้ ความคิด ความวิตกกังวลว่ามันจะได้ มันจะไม่ได้ มันจะเป็น จะไม่เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ จนสุดท้ายแล้ววาง วางเลยนะ เฮ้อ! วางแล้ว ขอพักก่อน มันเต็มทีแล้ว มันเหนื่อยเต็มทีแล้ว เดี๋ยวพักแล้วเดี๋ยวจะมาภาวนาใหม่ พอ เฮ้อ! วาง พอเอนตัวลงจะนอน มันปล่อยหมด อันนี้ก็เป็นความจริงของพระอานนท์แล้ว เป็นความจริงของพระอานนท์

เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกหลวงตา สิ่งที่ศึกษามาๆ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทิดใส่ศีรษะไว้ แล้วใส่ลิ้นชักไว้ ลั่นไว้ก่อน อย่าไปวิตกกังวล เดี๋ยวจะครึ่งทาง เดี๋ยวจะปลายทาง มันวิตกกังวลไปหมด มันคิดของมันไป

ความวิตกกังวลใส่ลิ้นชักไว้ แล้วเราปฏิบัติมันไป เพราะเวลาปฏิบัติแล้วมันจะมาขัด มันจะมาแย้ง มันเป็นอดีตอนาคต มันจะคาด มันจะหมาย มันจะวิตกกังวล เพราะนั่นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็นธรรมของเรา เราทำแล้วมันจะสมประโยชน์-ไม่สมประโยชน์ มันวิตกกังวลไปหมด เห็นไหม ให้วางไว้ๆ แล้วทำตามความเป็นจริง

เราจะปลูกธรรมๆ เราจะปลูกธรรม วางไว้ แล้วพยายามกำหนดอานาปานสติ พุทธานุสติ มรณานุสติ พยายามรักษาใจเราไว้ เราจะปลูกธรรม จะปลูกลงที่ไหน เราจะปลูกธรรมนะ เราจะปลูกธรรมบนหัวใจของเรา เราจะไม่ปลูกธรรมในธาตุ ๔ ไม่ใช่ปลูกธรรมบนร่างกาย บนเนื้อของเรา กระดูกของเรา เราจะไม่ปลูกธรรมบนสิ่งที่เป็นวัตถุธาตุที่มันจะอยู่ในโลกนี้ เราจะปลูกธรรมที่หัวใจ ที่ความรู้สึก เพราะความรู้สึก ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิด เกิดนี้ก็ปฏิสนธิจิตมาเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิดของจิต จิตมันอุบัติขึ้นมาเกิดเป็นเรา แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีสติมีปัญญาก็เข้ามาสู่จิต สิ่งที่แบกรับภาระ ที่ความรู้สึกนึกคิดมันบีบคั้นหัวใจ

เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบริษัท ๔ เรามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ศึกษามาแล้ว ศึกษาแล้ววางไว้ นั่นเป็นปริยัติ นั่นเป็นทฤษฎีที่เราศึกษาแล้ว ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา เราปฏิบัติ เราพยายามทำจริงขึ้นมา

เราบอกว่า เราจะปฏิบัติ ถ้าเราไม่ศึกษาแล้วมันก็จะหลงทาง มันจะหลงทาง มันจะผิดพลาดไป มันจะได้ของปลอมขึ้นมาเพราะว่าเราจะคิดไปเอง

แต่เวลาไปคิดถึงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไปวิตกวิจารณ์ ไปยึดมั่นถือมั่น พยายามก็อปปี้จะให้เป็น มันก็ไม่เป็นขึ้นมา เพราะอวิชชามันล่อหลอก มันมีรอยต่อ รอยต่อระหว่างกิเลสกับธรรม มันมีรอยต่อแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เราต้องพยายามพุทโธๆ ให้กิเลสมันสงบตัวลง

พอจิตมันจริง จิตมันจริงคืออะไร? จิตมันจริงคือสัมมาสมาธิจริง จิตจริงคือจิตเป็นอิสระจริง จิตจริง จิตเป็นอิสรภาพจริง จิตจริงคือมันไม่มีอวิชชา คือไม่มีความสงสัยในตัวของมันนะ ไม่มีความสงสัย นี่ก็เป็นสิทธิ์ของจิตไง เป็นสิทธิ์ของความรู้สึกทุกๆ ดวงใจ ทุกดวงใจมีสิทธิเสรีภาพอย่างนี้ทั้งหมดเลย แต่จิตแต่ละดวงมันเป็นพันธุกรรม คือว่ามันอ่อนด้อย มันปานกลาง มันเข้มข้นด้วยอำนาจวาสนาบารมี มันเข้มข้นไปด้วยกิเลส มันอ่อนด้อยไปด้วยกิเลส กิเลสหนา กิเลสกลาง กิเลสอย่างหยาบ ปัญญาอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด คนเราจริตนิสัยมันไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกัน ถ้าเราพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันจะสงบตัวเข้ามาเป็นสัจจะ เป็นความจริง ถ้าจิตเป็นความจริง เห็นไหม เราจะปลูกธรรม

นี่ไง เขาทำไร่ไถนา เขาหาที่ดินของเขา เขาต้องมีไร่สวนของเขา เขาถึงทำประโยชน์ของเขา เราจะทำของเรา เราหาใจเราไม่เจอ เราหาใจเราไม่เจอ เราไม่รู้จักเราเลย แต่เรารู้จักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้จักในพระไตรปิฎก เราพูดธรรมได้ปากเปียกปากแฉะเลย เราอธิบายธรรมให้เทวดาฟังยังได้เลย เทวดา อินทร์ พรหมมา กูสอนได้หมดเลย แต่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ก็จำมาไง นี่จำมา เห็นไหม

เทิดใส่ศีรษะไว้ แล้วลั่นกุญแจไว้ อย่าให้ออกมา แล้วทำของเราเป็นความจริงขึ้นมา เราจะปลูกธรรมๆ ของเรา ทำสัมมาสมาธิให้เกิดขึ้นแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันเกิดปัญญาไป เราจะมหัศจรรย์ไปทั้งนั้นน่ะ ดูสิ ของเราหาย เวลาของเราหาย เราอึดอัดนะ หาอย่างไรก็ไม่เจอ หาอย่างไรก็ไม่เจอ พอเราไปเจอ ความรู้สึกมันแตกต่างกันไหม ความรู้สึกนึกคิดของหายที่เราเสียใจมาก แต่เวลาพอเราไปเจอ มันโปร่ง มันโล่งโถงหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา โอ้โฮ! มันชัดเจน นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันรู้ของมัน มันเห็นของมัน มันเป็นสัมมาสมาธิ มันมีสติปัญญาบริหารจัดการได้ เวลามันออกไปใช้ปัญญา อ๋อ! ภาวนามยปัญญามันเป็นแบบนี้เนาะ ไอ้ที่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา พยายามจำ พยายามจะศึกษาจะให้มันเข้าใจ มันไม่เคยเข้าใจเลย พอศึกษามามันว่าจะเข้าใจ ว่าจะรู้ แต่มันก็มีความสงสัย ว่าจะเข้าใจ ว่าจะรู้ มันก็ยังวิตกกังวล

แต่เวลาปัญญามันเกิดขึ้น อ๋อ! มันชัดมันเจน อ๋อ! เราจะปลูกธรรม นี่ธรรมมันเกิดแล้ว สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมมันเกิดอย่างนี้ มันเกิดอย่างนี้

ถ้ามันเกิดอย่างนี้นะ เวลามันเสื่อมไป มันเสื่อมไปเพราะอะไร เพราะมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน จิตเป็นความจริงเป็นพื้นฐาน พอมันเสื่อมไปมันก็จอมปลอมไง เสื่อมไป สมุทัยมันก็เข้ามาครอบงำ พอมันเสื่อมไปมันก็เกิดตัณหาความทะยานอยากไง มันก็คาดหมายเอาไง มันก็อยากให้ได้ดั่งใจไง นี่มันเสื่อม มันเสื่อมเพราะเหตุนี้ไง

พอเสื่อมเพราะเหตุนี้ เราก็พุทโธๆ เอาอย่างนี้ให้มันหลุดออกไป ให้มันวางออกไปจากปฏิสนธิจิต วางออกไปจากจิต จิตมันก็สงบเข้ามา มันก็มีกำลังเข้ามา พอสงบมันก็มีกำลัง พอมีกำลังก็ใช้ปัญญาต่อเนื่องไปๆ พัฒนาต่อเนื่องไป

ปลูกธรรมขึ้นมา เห็นไหม จากหน่ออ่อน มันเจริญเติบโตขึ้นมา เราจะบำรุงรักษา เราจะไม่ให้มันเป็นโรคเป็นภัย ไม่ให้สัตว์ร้ายมันมากัดมากินของเรา นี่ไง การภาวนาของเรา ครูบาอาจารย์ท่านถึงหาที่สงบสงัด แล้วให้หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะใครจะภาวนา เห็นไหม หลบๆ หลีกๆ กัน อย่าทำเสียงกระทบกระเทือนกัน นี่หัวใจ หัวใจของนักปฏิบัติมันเห็นใจกัน หัวใจของนักปฏิบัติมันซาบซึ้งต่อกัน ถ้ามันซาบซึ้งต่อกันมันทำความพอดีของมันอย่างนี้ นี่เราจะปลูกธรรม

สิ่งทางโลกมันก็เป็นทางโลก เราปฏิเสธไม่ได้นะ เราปฏิเสธไม่ได้เพราะเราเกิดเป็นคน สัตว์สังคมมันต้องอยู่ด้วยกัน แต่เราต้องฉลาด ฉลาดหาทางแยกแยะ ฉลาดเอาตัวรอด เวลาเราประพฤติปฏิบัติเราก็หลีกเร้นของเรา เราต้องฉลาด เราฉลาดเอาตัวรอดได้ก่อน หัดว่ายน้ำให้เป็น ว่ายน้ำให้แข็งแรง ว่ายน้ำแข็งแรงแล้วเห็นคนจมน้ำแล้วค่อยๆ โยนเชือกโยนผ้าให้เขาจับแล้วดึงขึ้นมา เราว่ายน้ำเป็นแล้วเราจะช่วยเหลือคนจมน้ำได้ เราว่ายน้ำไม่เป็น เห็นคนจมน้ำ อยากช่วย กระโดดลงไปเลย กอดกันจมน้ำตายหมด เพราะด้วยความอยากช่วยเขา ด้วยการว่ายน้ำยังไม่เป็น เอาตัวรอดยังไม่ได้

เราหัดว่ายน้ำ หัดว่ายน้ำให้เป็น แล้วฝึกหัดให้แข็งแรง ฝึกหัดให้รู้ถึงเหตุถึงผล แล้วเวลาเราจะช่วยเหลือเขา เราหาวัตถุให้เขายึด แล้วเราดึงเขาขึ้นมา เห็นไหม เราหัดเรา เราทำตัวเราให้เป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นสัจจะ เป็นความจริงอย่างนี้

“จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง”

ถ้าใจดวงหนึ่งยังมืดบอด ใจดวงหนึ่งยังไม่รู้จักทาง มันจะจูงเขาไปได้อย่างไร คนตาบอดจูงคนตาบอดมันจะไปไหนล่ะ เราต้องเปิดตาเราให้ได้ เราจะปลูกธรรมขึ้นมา เปิดหัวใจของเรา การเปิดหัวใจของเรา วิธีการเปิด เราจะสอนเขาด้วยวิธีการนี้แหละ เพราะเราเปิดใจของเราด้วยวิธีการของเรา ด้วยมรรคของเรา ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยประสบการณ์ของเรา ถ้าเราไม่เปิดตาของเรา เราจะไปเปิดตาคนอื่นได้อย่างไร ถ้าเราไม่เปิดตาของเรา เราไม่เปิดตาให้เห็นก่อน วิธีการเปิดตายังเปิดขึ้นไม่ได้ แล้วจะไปบอกให้ใครเปิดตาได้อย่างไร เราต้องเปิดตาของเรา รักษาของเรา ให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา มันถึงเป็นความจริงในหัวใจของเรา เอวัง